top of page

6 ปัญหาสุขภาพ ที่คุณแม่พบบ่อยช่วงตั้งครรภ์

ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์ที่มักพบบ่อย เช่น ภาวะเสี่ยงแท้ง หรือภาวะแท้งคุกคาม การแพ้ท้อง ท้องผูก และถ้าผู้หญิงตั้งครรภ์มีอายุมากก็มักเจอภาวะ เบาหวาน และดาวน์ซินโดรม ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่คุณแม่ควรระวังนะคะ เพราะอาจส่งผลกระทบทำให้การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ได้ค่ะ

โดยตลอดช่วงการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ งดการดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และสามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้ เช่น การว่ายน้ำ หรือโยคะ แต่ไม่ควรเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันที่รวดเร็วจนเกินไป และควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่น รองเท้าที่สามารถเดินได้สะดวก และไม่สวมส้นสูง


และควรบริหารจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม และอย่าลืมฝากครรภ์ เพื่อรับคำแนะนำการดูแลสุขภาพ พร้อมติดตามพัฒนาการเจริญเติบโตของทารกในแต่ละช่วงสัปดาห์ ให้การตั้งครรภ์ของคุณแม่มีคุณภาพ และลูกน้อยมีความปลอดภัยค่ะ


1. ภาวะเสี่ยงแท้ง หรือภาวะแท้งคุกคาม


ภาวะเสี่ยงแท้ง หรือภาวะแท้งคุกคาม เป็นภาวะที่การแท้งกำลังคุกคามต่อการตั้งครรภ์ แต่ยังไม่เกิดการแท้งจริง มักพบในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว ได้แก่ การได้รับความกระทบกระเทือนจากการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างการออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธุ์ การยกของหนัก และการเดินที่มากเกินไป


อาการแสดงของภาวะแท้งคุกคามที่ต้องสังเกต เช่น รู้สึกปวดท้องน้อยหน่วงๆ คล้ายกับการมีประจำเดือน ในบางรายอาจพบการมีเลือดออกร่วมด้วย ซึ่งหากยังมีการสะเทือนต่อเนื่อง ภาวะแท้งคุกคามจะยังคงดำเนินต่อไปจนเกิดการแท้งจริงได้ค่ะ


และในส่วนของการรักษาเพื่อหยุดภาวะแท้งคุกคามนั้นสามารถทำได้ โดยผู้ที่ตั้งครรภ์ต้องหยุดพักฟื้น หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อร่างกาย เพื่อให้อาการคลายตัว ร่วมกับการเข้าพบสูตินรีแพทย์ โดยจะได้รับการฉีดยาป้องกันการแท้ง เพื่อช่วยให้การตั้งครรภ์ครั้งนี้ดำเนินต่อไปได้


2. การแพ้ท้อง


การแพ้ท้อง เป็นอาการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของคุณแม่ มักพบในช่วง 2-4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ สาเหตุมาจากการที่ร่างกายเกิดการตอบสนองต่อระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายระบบของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหารที่แย่ลง เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอารมณ์หงุดหงิดง่ายขึ้น


โดยในบางรายอาจพบการแพ้ท้องรุนแรง ทำให้ไม่สามารถทานอาหารได้ ไม่สามารถดื่มน้ำได้ เป็นผลให้เกิดภาวะขาดน้ำ และอ่อนเพลียตามมา หรืออาจเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์ ควรรีบเข้าพบสูตินรีแพทย์เพื่อทำการดูแลรักษาในทันที การดูแลสุขภาพในช่วงนี้จึงแนะนำให้ทานอาหารที่ย่อยง่าย แบ่งการทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ แทนการทานมื้อใหญ่ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและหายจากการอาการแพ้ท้องค่ะ


3. ภาวะท้องผูก


ท้องผูก เป็นอาการปกติที่พบได้ในการตั้งครรภ์ช่วงไตรมาส 2-3 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบย่อยอาหารขณะตั้งครรภ์ ทำให้มีปัญหาท้องผูก และเกิดการเบ่งถ่าย ตามมาด้วยความเสี่ยงของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร แต่ในรายที่เป็นโรคริดสีดวงทวารอยู่แล้วอาการอาจจะรุนแรงมากขึ้น


การดูแลสุขภาพในช่วงนี้จึงแนะนำให้การดื่มน้ำผลไม้ หรือการทานผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกระบวนขับถ่ายให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น


4. ครรภ์เป็นพิษ


อาการครรภ์เป็นพิษมักพบในช่วงของการตั้งครรภ์ในไตรมาส 3 ภาวะครรภ์เป็นพิษ เกิดจากภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้มีอาการตัวบวม ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ ปวดศีรษะ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีการคลอดก่อนกำหนดได้ สามารถเกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งในการตั้งครรภ์ 1 ครั้ง น้ำหนักจะเพิ่มสูงขึ้น 12 – 15 กิโลกรัม ดังนั้นในช่วงของการตั้งครรภ์ควรควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นมากเกินไป หรือน้อยเกินไป โดยเฉลี่ยต่อเดือนน้ำหนักควรเพิ่ม 1.5 – 2.5 กิโลกรัม เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ


5. เบาหวาน


การเกิดโรคเบาหวานในคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น หากในครอบครัวมีประวัติเป็นเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานได้ หรือในรายที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มสูงมากในช่วงตั้งครรภ์ โดยเมื่อตรวจพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลสูงกว่ามาตรฐาน จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการใช้ยา และการควบคุมอาหาร เพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ค่ะ


ซึ่งการเกิดโรคเบาหวานนั้นจะส่งผลกระทบทำให้ทารกมีความพิการ หรือมีน้ำหนักตัวมากกว่า 4 กิโลกรัม และถือว่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน จนอาจเกิดภาวะน้ำตาลตกในทารกเมื่อคลอดออกมา เกิดจากความคุ้นชินของร่างกายทารกที่ได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงเมื่ออยู่ในครรภ์ เมื่อทารกคลอดออกมาจึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยทันทีจากกุมารแพทย์


6. ดาวน์ซินโดรม


การเป็นดาวน์ซินโดรม ถือเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการเกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก โดยเฉพาะคุณแม่ในช่วงอายุ 35 ปี ขึ้นไป หรือการมีประวัติของบุคคลในครอบครัวที่เป็นดาวน์ซินโดรม เมื่อทราบว่ามีการตั้งครรภ์ ควรได้รับการตรวจคัดกรองหาความผิดปกตินี้


ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการตรวจที่หลากหลาย แต่ที่นิยมทำในปัจจุบันคือการเจาะน้ำคร่ำ และเป็นการเจาะนำน้ำคร่ำของทารก ในช่วงอายุครรภ์ 18 – 19 สัปดาห์ เพื่อนำเซลล์ของทารกที่ปะปนอยู่ไปตรวจดูจำนวนโครโมโซม


โดยวิธีการตรวจนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญของผู้ตรวจ เนื่องจากมีความเสี่ยงของการที่ทารกในครรภ์จะมีการเคลื่อนตัวมากระทบกับเข็ม ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้


หรืออีกวิธีการตรวจครรภ์ที่ปลอดภัยก็คือ NIPT TEST เป็นการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์ที่สามารถตรวจได้เมื่ออายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป โดยการเจาะเลือดของแม่ตั้งครรภ์ เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฎิบัติการ และการหาความผิดปกติของโครโมโซมของทารก โดยการตรวจชนิดนี้ถือเป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น หากผลการตรวจสงสัยว่ามีภาวะดาวน์ซินโดรม จะต้องตรวจยืนยันโดยการเจาะน้ำคร่ำอีกครั้งค่ะ


โดยMomGuard มีบริการเจาะเลือดถึงบ้านฟรี ทำการเจาะโดยพยาบาล (ในเขตพื้นที่กทม. เท่านั้น) และรู้ผลภายใน 5 วันทำการ


สอบถามรายละเอียด และข้อมูลการตรวจ NIPT เพิ่มเติมได้ที่

Tel: 02-579-1965

Mobile:: 091-705-6754

LINE@ : @momguard


ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก นพ.สุระ โฉมแฉล้ม สูตินรีแพทย์ชำนาญการเฉพาะทางผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลเปาโล เกษตร

ดู 7 ครั้ง

Comments


bottom of page